วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

NEW
1. ความหมายของเจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพ (Quality control officer) 
        เจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพ (Quality control officer) คือ ทำงานเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพการผลิตสินค้า และบริหารของสถานประกอบการ โดยตรวจสอบทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ผลผลิตตามมาตรฐานที่กำหนดโดยลูกค้า หรือทางราชการหรือตามมาตรฐานทั่วไป 
2. ลักษณะการทำงาน
   1. ปฏิบัติงานตามคู่มือระบบคุณภาพ
   2.ตรวจสอบขั้นตอนของการควบคุมการบันทึกคุณภาพให้ครบถ้วน ชัดเจน
   3.ตรวจสอบการควบคุมเอกสาร และข้อมูลทั้งจากภายใน และภายนอกองค์กรทั้งหมด
   4.ตรวจสอบการควบคุมกระบวนการผลิต การติดตั้งอุปกรณ์เครื่องมือ และการบริการต้องอยู่ภายใต้ 
      ภาวะควบคุม 
   5.ตรวจติดตามคุณภาพภายในองค์กร 
   6. จัดการฝึกอบรมให้ผู้เกี่ยวข้องทราบถึงขั้นตอน และกระบวนการทำงานระบบคุณภาพ 
  7. บันทึกกลวิธีทางสถิติในการรวบรวมวิเคราะห์หาแนวโน้มของข้อบกพร่องต่างๆ และทำการป้องกันข้อ       บกพร่องที่อาจเกิดขึ้นได้
และอื่นๆ
3.คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
   1.มีสุขภาพแข็งแรง มีความอดทน สามารถเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด หรือต่างประเทศได้ 
   2. มีความรู้ความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ได้ดี
   3. เป็นคนละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต มีไหวพริบ มีความรับผิดชอบสูง และมีระเบียบวินัยเคร่งครัด
   4.เป็นผู้สนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ 
   5.ฝึกอบรมเกี่ยวกับกำหนดมาตรฐาน ISO 9000 series 5 ระบบหลัก
      5.1. ISO 9000 เป็นแนวทางในการเลือกและกรอบการเลือกและการใช้ มาตรฐานระบบคุณภาพต่างๆ                                ให้เหมาะสม 
     5.2.ISO 9001 มาตรฐานระบบคุณภาพซึ่งกำกับดูแลทั้งการออกแบบ และพัฒนาการผลิต การติดตั้ง                                 และบริการ    
     5.3.ISO 9002 ระบบคุณภาพซึ่งกำกับดูแลเฉพาะการผลิต การติดตั้ง และการบริการ    
     5.4.ISO9003 ระบบคุณภาพซึ่งกำกับดูแลเรื่องการตรวจ และการทดสอบขั้นสุดท้าย    
     5.5.ISO9004 ระบบแนวทางการบริหารงานเพื่อคุณภาพเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
4.สถานที่ฝึกปฏิบัติงาน
   4.1 กลุ่มธุรกิจ
      1.ร้านอาหาร
      2.โรงแรม
      3.โรงพยาบาล
   4.2. กลุ่มสาธารณูปโภค
      1.สถานที่จักจำหน่ายสินค้า
      2.ในสำนักงาน
      3.ที่ปรึกษาบุคลากร
5.สถานที่ทำงาน
      1.บริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูป
      2. อุตสาหกรรมขนาดเล็ก / กลาง / ใหญ่
      3. กรมการส่งสินค้าระหว่่างประเทศ
      4. ไส้กรอกของ CP
   สรุปได้ว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพ (Quality control officer) เป็นบุคคลที่คอยปฏิบัติงานเกี่ยวกับด้านการควบคุมคุณภาพของการผลิตสินค้าและบริหารของสถานประกอบการให้ได้มาตรฐานทุกขั้นตอน ตามที่กฎหมายได้บัญญัติเอาไว้ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อน่าถือให้กับลูกค้าในประเทศและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี หน้าที่นี้จึงจำเป็นต้องคอยหาบุคคลที่มีความละเอียดรอบคอบ ,ความรับผิดชอบสูง และมีไหวพริบดี คนเหล่านี้จึงกลายเป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญ และจึงกลายเป็นที่ต้องการของตลาด เพื่อให้ได้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพคอยมาตรวจสอบมาตรฐานการผลิตสินค้า และ กระบวนการผลิตสินค้า ในสถานที่จำพวกโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก / กลาง / ใหญ่ หรือ เป็นบริษัทของตนเองเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น จึงสามารถนำไปจัดจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ผูบริโภคได้รับสินค้าที่ดี สด สะอาด และปลอดภัยจากสารเคมี
























เจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพ (Quality control officer) คืออะไร?

Read More

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

     ห้องแลปจุลชีววิทยา คือ ห้องที่คอยตรวจสอบเชื้อจุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย เพื่อทดสอบหาตัวเชื้อที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น โดยการหาเชื้อจุลินทรีย์ไปทำยา หรือ นมเปรี้ยว เป็นต้น
     ประโยชน์ของห้องแลปจุลชีววิทยา มีเอาเพื่อหาตัวเชื้อ หรือ สปอร์ของดอกเห็ด โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ในการส่องมองหา และสามารถใช้กล้องจุลทรรศ์ได้อย่างถูกต้อง
     การเตรียมตัวก่อนเข้าห้องแลปจุลชีววิทยา 
1.ควรใส่เสื้อกาวส์ (สีขาว) เพื่อความปลอดภัย
2.ควรเช็ดโต๊ะให้สะอาดด้วยแอลกอฮอล์ 70%
3.ผู้หญิงที่ผมยาวควรจะมัดผมให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้เส้นผมโดนตะเกียงแอลกอฮอล์
4.ไม่่นำกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะ
5.ไม่นำอาหารและเครื่องดื่นมารับประทานในห้องแลปจุลชีววิทยา
6.ใส่รองเท้าที่หุ้มส้นเพื่อความปลอดภัยจากสารเคมี
     อุปกรณ์ในห้องแลปจุลชิววิทยา
1.ห่วงเขี่ยเชื้อและเข็มเขี่ยเชื้อ (Inoculating loop and needle)
2.ตะเกียงแอลกอฮอล์  
3.จานเพาะเชื้อ (Petri dish)
4.หลอดทดลอง (Test tube) หรือหลอดเลี้ยงเชื้อ (Culture tube) 
5.หลอดดักก๊าซ (Durham tube) 
6.เครื่องกรองแบคทีเรีย (Bacteriological filter)
7.ปิเปตและไมโครปิเปต (Pipette and Micropipette)
8.ตู้บ่มเชื้อ (Incubator)
9.หม้อนึ่งฆ่าเชื้อภายใต้ความดันไอน้ำ (Autoclave)
10.ตู้ปลอดเชื้อ (Biological safety cabinet: BSC)และตู้เขี่ยเชื้อ (Laminar flow clean bench) 
11.เครื่องชั่งไฟฟ้า
12.ตู้อบความร้อน (Hot air oven)
13.เครื่องวัดค่าความเป็นกรด – ด่าง หรือ pH meter
14.อ่างน้ำควบคุมอุณหภูมิ (Water bath) 
15.ตู้เย็น และตู้แช่แข็ง (Refrigerator and Freezer) 
16.กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (Light microscope)
17.ชุดย้อมสี (Staining set)
       ห้องแลปเคมี คือ ห้องที่คอยทดลองสารที่ทำปฎิกิริยากันชนิดที่รุนแรง หรือ ทดสอบหาความเป็น
กรด - เบส เป็นต้น
        ประโยชน์ของห้องแลปเคมี มีเอาไว้คอยศึกษาคอยทดลองเกี่ยวกับการทำปฎิกิริยาเคมีกับของ 2 สิ่งเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลการทดลองที่ถูกต้อง
        การเตรียมตัวก่อนเข้าห้องแลปเคมี 
1.ควรใส่เสื้อกาวส์ (สีขาว) เพื่อความปลอดภัย
2.ใส่รองเท้าที่หุ้มส้นเพื่อความปลอดภัยจากสารเคมี
3.ผู้หญิงที่ผมยาวควรจะมัดผมให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้เส้นผมโดนตะเกียงแอลกอฮอล์
4.ไม่่นำกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะ
5.ไม่นำอาหารและเครื่องดื่นมารับประทานในห้องแลปจุลชีววิทยา
6.ใส่แว่นตาขณะทำการทดลองเพื่อไม่สารเคมีกระเด็นเข้าตาได้
          อุปกรณ์ในห้องแลปเคมี
1. Beaker (บีกเกอร์)
2.Cylinder (กระบอกตวง)
3.Erlenmeyer Flask (ขวดรูปชมพู่)
4.Dropper (หลอดหยด)
5.Glass Rod (แท่งแก้วคนสาร)
6.Buret (บิวเรต)
7.Graduated Pipette (ปิเปต)
8.Volumetric Pipette 10 ml (ปิเปต 10 ml)
9.Test Tube  (หลอดทดลอง)
10. Funnel (กรวยกรอง)
11.Volumetric Flask (ขวดวัดปริมาตร)
12.Suckion Flask (ขวดลดความดัน)
13.Bunsen Burner (ตะเกียงบุนเสน)
14.Condenser (ตัวควบแน่น)
15.Stand & Clamp (ขาตั้งและแคลมป์)



      สุดท้ายนี้ ห้องแลปจุลชีววิทยาเป็นห้องที่คอยศึกษาหรือตรวจสอบเชื้อแบคทีเรีย หรือ จุลินทรีย์ที่เข้ามาแทรกตัวอยู่ในเชื้อตัวนั้น ว่าเป็นชื่อเชื้ออะไร แล้วมันมีโทษ หรือมี ประโยชน์อย่างไรกับเราบ้าง ในขณะทำการทดลองอยู่นั้น  ส่วนห้องแลปเคมีเป็นห้องที่คอยทำปฎิกิริยาเคมี หรือ ทดสอบสารการเกิดกรด - เบส เราจะต้องดูแลความปลอดภัยของตนเองอยู่ตลอด เพื่อให้ไม่เป็นอันตรายกับตัวเองและผู้อื่นให้เกิดการบาดเจ็บ จึงทำให้เกิดข้อแตกต่างระหว่าง 2 ห้องแลปนี้ เช่น ห้องแลปจุลชีววิทยา เป็นห้องที่ไม่ค่อยใช้สารเคมีทีเป็นอันตรายมากนะจึงทำให้ลักษณะภายในห้องสามารถติดแอร์ได้  แต่ ห้องแลปเคมีเป็นห้องที่ใช้สารเคมีที่อันตรายเป็นค่อนข้างมากจึงทำให้ลักษณะภายในห้องโปร่งเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีในการทำการทดลองได้อย่างปลอดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายภายในห้องแลปทั้ง 2 ห้องนี้



ห้องแลปจุลชีววิทยา (lab micro biology) กับ ห้องแลปเคมี (lab chemistry)คืออะไร?

Read More

 
     การทำอาหารและการเป็นนักผู้เชี่ยวชาญอาหารที่ดี เราจะต้องศึกษาที่มาและองค์ความรู้ของแต่ละสายวิชาสายอาชีพนั้น  ว่ามีที่มาเป็นอย่างไร
     *ฟูตไซต์ คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการตรวจสอบอาหาร, การประเมินคุณภาพอาหาร, การออกแบบผลิตภัณฑ์ และสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://twinmini-shops.blogspot.com/2016/07/werewrewrewr.html
        *คหกรรม คือ เป็นวิชาที่ว่าที่เกี่ยวกับการจัดการบ้านเรือนและเกี่ยวข้องกับการประกอบอาหาร
อาชีพของคหกรรม กับ ฟูตไซต์ ดังนี้
คหกรรม                                                                 ฟูตไซต์
อาจารย์สอนทำอาหาร                                             นักโภชนาการ
นักโภชนาการ                                                          อาจารย์
เซฟทำหาร                                                              นักตรวจสอบอาหาร / นักประเมินอาหาร
ผู้จัดการในร้านอาหาร                                              นักออกแบบผลิตภัณฑ์
การเรียนของคหกรรม กับ ฟูตไซต์ ดังนี้
คหกรรม = ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน
ฟูตไซต์ = เน้นไปทางการเรียนเคมี, ใช้สารเคมีในการทดลอง
     สุดท้ายนี้ ทั้ง 2 วิชานี้เป็นสาขาที่รวบรวมองค์ประกอบความรู้ได้อย่างครบถ้วน ไว้ในหลายๆด้านเข้าด้วยกัน ถ้าเราไม่มีวิชา 2 ตัวนี้ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันจะเป็นยังไง เช่น ถ้าเราไม่ได้เรียนคหกรรมเราก็จะไม่สามารถประกอบอาชีพเป็นเชฟได้ เพราะเราไม่ได้ฝึกปฎิบัติการทำอาหารให้แม่นยำ ส่วน ถ้าเราไม่ได้เรียนเทคโนโลยีทางการอาหารเราก็จะไม่รู้ที่มาของสารอาหารนั้น ควรจะบริโภคมากน้อยแค่ไหนและมีคุณประโยชน์อะไรบ้าง เราจึงจำเป็นต้องมี2สาขาและสายอาชีพนี้อยู่ในปัจจุบัน

ความแตกต่าง Food science(เทคโนโลยีทางการอาหาร) กับ (คหกรรม)

Read More

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

       โลกทัศน์ คือ ระบบความเชื่อของมนุษย์ที่มีการจินตนาการขึ้นมาเองของแต่ละบุคคล บางคนอาจจะมีวิธีคิดหรือความเชื่อที่แตกต่างกันไปของการมองสิ่งต่างๆ 
       โดยทำให้สามารถคิดออกนอกกรอบแนวความคิดจากเดิมและทัศนคติที่มีต่อโลกและจักรวาล ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้คนมีโลกทัศน์ที่ต่างกัน เพราะเกิดมาจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป 
     โลกทัศน์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ด้าน
        1. ด้านปัจเจกชน = เน้นประโยชน์ส่วนตน
        2. ด้านส่วนรวม = เน้นการช่วยเหลือกัน, มีจุดยืนทางสังคมร่วมกัน
การนำโลกทัศน์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
    ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโลกทัศน์ มี 2 แบบ
        1.แบบภายนอก
             1.1. ปรโตโฆสะ คือ เสียงจากบุคคลอื่นหรือเสียงที่ชักจูงจากภายนอก, สื่อทางอิเล็กทรอนิกส์               1.2. กัลยาณมิตร คือ คนดีมีคุณธรรม มีปัญญา สามารถสอนผู้อื่นให้เป็นคนดีดูเป็นคนที่น่า                                                     เลื่อมใส หรือเป็นผู้ชี้ทางในทางที่ดีให้กับคน
               *สมบัติภายนอก : 1.รู้จักเหตุ 2.รู้จักผล 3.คนรู้จักตน 4.คนรู้จักประมาณ 5.คนรู้จักกาลเวลา                                               6.คนรู้จักชุมชน 7.คนรู้จักบุคคล

                *สมบัติภายใน : 1.ที่รัก 2.ที่เคารพ 3.ผู้รู้จักพูด 4.ที่ยกย่อง 5.ผู้อดทนต่อถ้อยคำ 
                                        6.พูดคำลึกซึ้ง 7.ไม่ชักนำในทางที่ไม่ดี
          2.แบบภายใน
               "การคิดมีความสำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างมากเราคิดอย่างไรตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นอย่าง                 นั้น"  การคิดที่จะก่อให้เกิดโลกทัศน์ที่ดี คือ "การคิดบวก"
               *การคิดบวก คือ มีหลักการและรอบคอบ, สร้างทัศนคติที่ดี, เกิดผลประโยชน์ที่ดีที่สุด หรือ                                            นำไปพัฒนาชีวิต
             การคิดบวกแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ
                 1. มองชีวิตแบบเรียนรู้และพัฒนา
                  2.ไม่ยึดติดในค่าของชีวิต               
             วิธีคิดบวก 4 วิธี ดังนี้
                   1.มองรอบด้านอย่างสร้างสรรค์      
                    2.แปรความหมายเชิงลบเป็นเชิงบวก     
                    3.สร้างพลังให้เกิดขึ้นในใจจากคำพูดเชิงลบ     
                    4.เอาวิกฤตมาเป็นโอกาส  
เราเรียนวิชาโลกทัศน์ไปทำไม ?  

       สรุป โลกทัศน์เปรียบเสมือนความเชื่อของแต่ละบุคคลที่มีวิจารณญาณแตกต่างกัน ซึ่งบางคนอาจจะมีความคิดหรือการนับถือวัตถุมงคลที่แตกต่างกันไปของแต่ละศาสนา เช่น ถ้าใน

ศาสนาพุทธก็จะเป็นพวกกุมารทอง, เจ้าที่เจ้าทาง, เจ้าบ้านเจ้าเรือน ศาสนาคริสต์ก็จะนับถือพระเยซูเป็นหลัก หรือ ศาสนาอิสลามก็จะนับถืออัลอฮฺ ซึ่งทำให้บุคคลมีจุดยืนที่จะคิด หรือ การกระทำที่ต่างกันไป เราจึงต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้มั่นคงกันไปแต่ละศาสนาและแต่ละบุคคลไป ที่จะทำให้คนเหล่านี้รู้สึกปลอดภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็น 

ความหมายของโลกแห่งความคิด คืออะไร?

Read More

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

        เทคโนโลยีทางการอาหาร (Food Science) คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการตรวจสอบอาหาร, การประเมินคุณภาพอาหาร, การออกแบบผลิตภัณฑ์ แม้กระทั้งกระบวนการของการผลิตสินค้าอาหาร ให้ได้ประสิทธิภาพตามที่กฎหมายบัญญัติออกมา
       ในประเทศไทย มีมหาวิทยาลัยที่ได้เปิดทำการสอนสาขาเทคโนโลยีทางการอาหาร (Food Science) ได้แก่
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  •  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  •  มหาวิทยาลัยรามคำแหง
  •  มหาวิทยาลัยมหิดล
  • มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
  • มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
  •  มหาวิทยาลัยศิลปากร
  •  มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
     และอื่นๆ
      โดยมหาวิทยาลัยในแต่ละที่อาจจะมีหลักสูตรการสอนที่แตกต่างกันไป พร้อมทั้งบางมหาลัยอาจจะใช้ชื่อของคณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือ คณะอุตสาหกรรมทางการเกษตร เป็นต้น

     อาชีพของสาขาวิชานี้ ได้แก่
  • อาจารย์ / นักวิชาการ / วิทยากรชุมชน 
  • นักธุรกิจผลิตอาหารสำเร็จรูป 
  • ผู้ผลิตอาหารอนามัย /   ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป หรือเครื่องดื่ม /  ผู้นำเข้าสินค้าอาหาร หรือ ส่งออก /  ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาด้านการผลิตอาหารกับวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ หรือ โรงงานนักชิมไวน์
  • นักตรวจสอบอาหาร
  • นักประเมินคุณภาพอาหาร 
  • นักวิจัยอาหาร
      สุดท้ายนี้ ถ้าเราไม่มีสาขาเทคโนโลยีทางอาหารนี้อยู่ ลองนึกดูสิว่าเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดป่วยจากอาหารที่เรากินเข้าไปโดยไม่รู้สาเหตุว่าป่วยขึ้นมาได้ยังไง เราจึงต้องมีสาขาเทคโนโลยีทางอาหารเข้ามาช่วยตรวจสอบว่าเกิดปัญหาอะไรจากอาหารที่นำมารับประทาน ซึ่งอาหารอาจจะสกปรกหรือมีสิ่งเจือปนเข้ามา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีสาขาเทคโนโลยีทางอาหารนี้อยู่ เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยจากสิ่งเจือปนในปัจจุบัน







FOOD SCIENCE คืออะไร ?

Read More

Copyright © 2016 Twinmini Shops ,Bangkok, Thailand | Designed With
Scroll To Top